ประวัติศาสตร์โลก ก่อนดาวดึงส์ศักราช
แต่ต้นนั้นไม่มีจักรวาล ไม่มีโลก มีแต่เพียงมหามโนของพระเจ้าหนึ่ง เดี่ยว นักประวัติศาสตร์เรียกระยะเวลาอันว่างเปล่านี้ว่า “กินุกกัป” (กิ - นุ - กะ - กับ) ประมาณ ๑๕,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ ปี ก่อนดาวดึงส์ศักราช - มหามโนของพระเจ้าประสงค์จะสร้างโลกขึ้น จึงแบ่งตนเองเป็นสามภาคเพื่อ ทําหน้าที่ต่างๆ ประกอบด้วยพระพรหมเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง พระอิศวรเป็นผู้ดูแลให้สิ่งที่พระพรหมสร้างนั้นดําเนินไปอย่างเป็นระเบียบ และพระนารายณ์ เป็นผู้ทําลายสิ่งที่ผิดพลาดและเป็นภัยต่อระเบียบของพระอิศวร หลังจากนั้นพระพรหมท่านก็สร้างจักรวาล สร้างโลกขึ้นในจักรวาล และให้กําเนิดชีวิตสัตว์ต่างๆ โดยเริ่มปล่อยเชื่อชีวิตลงปฏิสนธิเป็นกายเนื้อใน มหาสมุทร
กายเนื้อเหล่านั้นพัฒนาเป็นสิ่งที่คล้ายพืชชั้นต่ําขนาดเล็กเกินกว่า เห็นด้วยตาเปล่าเรียกว่า เหม
พวกเหมดํารงชีวิตโดยการสังเคราะห์อาหารจากแสงอาทิตย์ สืบพันธ์ โดยการแบ่งกลละ ชั่วขณะเดียวก็แผ่กระจายไปทั่วท้องทะเล
ต่อมาพระผู้เป็นเจ้าเห็นว่าพวกเหมนี่ขาดพลังในการสร้างสรรค์โลก จึงประทานสติปัญญาให้มันโดยแบ่งมหามโนของตนลงไปสุ่มสถิตในกาย เนื้อพวกเหมกึ่งหนึ่ง
แต่นั้นพวกเหมจึงแบ่งเป็นสองพันธุ์เรียกว่าเหมพืชกับเหมสัตว์ เหม พืชนั้นคือเหมที่มิได้มีมโนสิงสถิตอยู่ ส่วนเหมสัตว์คือพวกมุมโน เหตุนี้ทําให้เหมสองพันธุ์วิวัฒนาการไปคนละทางอีกด้วย
เนื่องจากกายเนื่อของเหมสัตว์มีมโนซึ่งเป็นตัวคิด และมโนภายในได้ ต่อสู้ดิ้นรนด้วยความ “อยาก” แสดงตนเอง กายเนื่อของเหมสัตว์จึงค่อยๆ พัฒนาอวัยวะที่เรียกว่า “สมอง” ขึ้นมาเป็นตัวช่วยคิด ในขณะที่กายเนื้อของ เหมพืชไม่มีความกดดันจากมโนจึงพัฒนาในด้านการสืบพันธุ์และดํารงอยู่ อย่างเดียว เราจะเห็นตัวอย่างของวิวัฒนาการแบบนี้ได้จากพืชชันสูงใน ปัจจุบันซึ่งมีวิธีการแพร่พันธุ์ที่และมีอายุยืนกว่าสัตว์